เมนู

เทพบุตร. เธอดำรงอยู่ในกรุงสาวัตถีนั้นสิ้นกาลเท่าไร ?
เทพธิดา. ข้าแต่นาย ดิฉันออกจากท้องมารดา โดยกาลอันล่วง
ไป 10 เตือน ในเวลาอายุ 16 ปี ไปสู่ตระกูลสามี คลอดบุตร 4 คน
ทำบุญมีทานเป็นต้น ปรารถนาถึงนา มาบังเกิดแล้วในสำนักของนาย
ตามเดิม.
เทพบุตร. อายุของมนุษย์มีประมาณเท่าไร ?
เทพธิดา. ประมาณ 100 ปี.
เทพบุตร. เท่านั้นเองหรือ ?
เทพธิดา. ค่ะ นาย.
เทพบุตร. พวกมนุษย์ถือเอาอายุประมาณเท่านี้เกิดแล้ว เป็นผู้
ประมาทเหมือนหลับ ยังกาลให้ล่วงไปหรือ ? หรือทำบุญมีทานเป็นต้น ?
เทพธิดา. พูดอะไร นาย, พวกมนุษย์ประมาทเป็นนิตย์ ประหนึ่ง
ถือเอาอายุตั้งอสงไขยเกิดแล้ว ประหนึ่งว่าไม่แก่ไม่ตาย.
ความสังเวชเป็นอันมาก ได้เกิดขึ้นแก่มาลาภารีเทพบุตรว่า
" ทราบว่า พวกมนุษย์ถือเอาอายุประมาณ 100 ปีเกิดแล้ว ประมาท
นอนหลับอยู่. เมื่อไรหนอ ? จึงจักพ้นจากทุกข์ได้."

100 ปีของมนุษย์เท่า 1 วันในสวรรค์


ก็ 100 ปีของพวกเรา เป็นคืนหนึ่งวันหนึ่งของพวกเทพเจ้าชั้น
ดาวดึงส์, 30 ราตรีโดยราตรีนั้น เป็นเดือนหนึ่ง, กำหนดด้วย 12
เดือนโดยเดือนนั้น เป็นปีหนึ่ง, 1,000 ปีทิพย์ โดยปีนั้น เป็นประมาณ
อายุของเทพเจ้าชั้นดาวดึงส์, 1,000 ปีทิพย์นั้น โดยการนับในมนุษย์

เป็น 3 โกฏิ 6 ล้านปี.
เพราะฉะนั้น แม้วันเดียวของเทพบุตรนั้น ก็ยังไม่ล่วงไป ได้
เป็นกาลเช่นครู่เดียวเท่านั้น. ขึ้นชื่อว่าความประมาทของสัตว์ผู้มีอายุน้อย
อย่างนี้ ไม่ควรอย่างยิ่งแล
ในวันรุ่งขึ้น พวกภิกษุเข้าไปสู่บ้าน เห็นโรงฉันยังไม่ได้จัด
อาสนะยังไม่ได้ปู น้ำฉันยังไม่ได้ตั้งไว้ จึงกล่าวว่า " นางปติปูชิกา
ไปไหน ?"
ชาวบ้าน. ท่านผู้เจริญ พระผู้เป็นเจ้าทั้งหลายจักเห็นนาง ณ ที่
ไหน ? วันวานนี้ เมื่อพระผู้เป็นเจ้าฉันแล้ว (กลับ ) ไป, นางตายใน
ตอนเย็น.
ภิกษุปุถุชนฟังคำนั้นแล้ว ระลึกถึงอุปการะของนางนั่น ไม่อาจจะ
กลั้นน้ำตาไว้ได้, ธรรมสังเวชได้เกิดแก่พระขีณาสพ. ภิกษุเหล่านั้นทำ
ภัตกิจแล้ว ไปวิหาร ถวายบังคมพระศาสดา ทูลถามว่า "ข้าแต่
พระองค์ผู้เจริญ อุบาสิกาชื่อปติปูชิกา ลุกขึ้นเสร็จสรรพแล้ว ทำบุญมี
ประการต่าง ๆ ปรารถนาถึงสามีเท่านั้น, บัดนี้ นาง ตายแล้ว (ไป)
เกิด ณ ที่ไหน?"
พระศาสดา. ภิกษุทั้งหลาย นางเกิดในสำนักสามีของตนนั่นแหละ.
ภิกษุ. ในสำนักสามี ไม่มี พระเจ้าข้า.
พระศาสดา. ภิกษุทั้งหลาย นางปรารถนาถึงสามีนั่น ก็หามิได้,
มาลาภารีเทพบุตร ในดาวดึงสพิภพ เป็นสามีของนาง, นางเคลื่อนจาก
ที่ประดับดอกไม้ของสามีนั้นแล้ว ไปบังเกิดในสำนักของสามีนั้นนั่นแลอีก.
ภิกษุ. ได้ยินว่า อย่างนั้นหรือ ? พระเจ้าข้า.

พระศาสดา. อย่างนั้น ภิกษุทั้งหลาย.
ภิกษุ น่าสังเวช ! ชีวิตของสัตว์ทั้งหลายน้อย ( จริง) พระเจ้าข้า
เช้าตรู่ นางอังคาสพวกข้าพระองค์ ตอนเย็น ตายด้วยพยาธิที่เกิดขึ้น.
พระศาสดา. อย่างนั้น ภิกษุทั้งหลาย ชื่อว่า ชีวิตของสัตว์
ทั้งหลายน้อย (จริง). เหตุนั้นแล มัจจุผู้กระทำซึ่งที่สุด ยังสัตว์เหล่านี้
ซึ่งไม่อิ่ม ด้วยวัตถุกาม และกิเลสกามนั่นแล ให้เป็นไปในอำนาจของ
ตนแล้ว ย่อมพาเอาสัตว์ที่คร่ำครวญ ร่ำไรไป" ดังนี้แล้ว ตรัสพระ-
คาถานี้ว่า :-
4.ปุปฺผานิ เหว ปจินนฺตํ พฺยาสตฺตมนสํ นรํ
อติตฺตํเยว กาเมสุ อนฺตโก กุรุเต วสํ ฯ
"มัจจุ ผู้ทำซึ่งที่สุด กระทำนระผู้มีใจข้องใน
อารมณ์ต่างๆ เลือกเก็บดอกไม้อยู่เทียว ผู้ไม่อิ่มใน
กามทั้งหลายนั่นแล สู่อำนาจ."

แก้อรรถ


บรรดาบทเหล่านั้น บาทพระคาถาว่า ปุปฺผานิ เหว ปจินนฺตํ
ความว่า ผู้มัวเลือกเก็บดอกไม้คือกามคุณทั้งหลาย อันเนื่องด้วยอัตภาพ
และเนื่องด้วยเครื่องอุปกรณ์อยู่ เหมือนนายมาลาการ เลือกเก็บดอกไม้
ต่างชนิดอยู่ในสวนดอกไม้ฉะนั้น.
บาทพระคาถาว่า พฺยาสตฺตมนสํ นรํ ความว่า ผู้มีจิตซ่านไปโดย
อาการต่าง ๆ ในอารมณ์อันยังไม่ถึงแล้ว ด้วยสามารถแห่งความปรารถนา
ในอารมณ์ที่ถึงแล้ว ด้วยสามารถแห่งความยินดี.